แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 33
1
อาหารสุขภาพ มูสลี่ เมนูมื้อเช้าง่าย ๆ ได้สุขภาพเต็ม ๆ

มูสลี่ (Muesli) เป็นอาหารเช้าของประเทศแถบตะวันตกแบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยธัญพืช เมล็ดพืช ถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้ และนม วัตถุดิบเหล่านี้มักผ่านการปรุงแต่งน้อยและมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ซึ่งนอกจากจะให้พลังงานแล้วยังช่วยเสริมสุขภาพได้อีกด้วย

ในปัจจุบัน มูสลี่เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มคนไทยในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนักและไขมัน โดยนอกจากแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ และมีสารอาหารที่หลากหลายแล้ว มูสลี่ยังเป็นเมนูมื้อเช้าที่ทำได้ง่ายและประหยัดเวลา มาดูกันว่ามูสลี่มีวิธีการทำอย่างไร และมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง

ส่วนผสมและคุณประโยชน์ของมูสลี่

ส่วนประกอบของมูสลี่อาจแตกต่างกันไปตามความชอบ แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ในกลุ่มต่อไปนี้

    ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี
    เมล็ดพืช อย่างเมล็ดแฟล็ก เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน
    ถั่วเปลือกแข็ง อย่างอัลมอนด์ แมคคาเดเมีย วอลนัท
    ผลไม้ ทั้งแบบสดและแบบแห้ง อย่างแอปเปิล กล้วย สตรอเบอร์รี่ ลูกเกด

เครื่องดื่มที่เติมลงไปเมื่อรับประทานมักเป็นนมวัว แต่สามารถใช้นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมประเภทอื่น ไปจนถึงโยเกิร์ตและน้ำผลไม้เพื่อเพิ่มรสชาติและคุณประโยชน์ สำหรับบางคนอาจเทนมหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ลงไปในมูสลี่ แช่ไว้ข้ามคืนหรือหลายชั่วโมงเพื่อให้ส่วนผสมนิ่มลง ซึ่งจะให้สัมผัสที่ต่างออกไป และอาจช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น

จะเห็นได้ว่าในมูสลี่หนึ่งชามมีส่วนผสมหลายอย่าง จึงช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลากหลายชนิด ทั้งคาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายและสมอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพในด้านต่อไปนี้


1. อยู่ท้องและไม่ทำให้หิวบ่อย

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนั้นเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ซึ่งส่วนผสมหลักในมูสลี่ อย่างข้าวโอ๊ต และธัญพืชขัดสีน้อยชนิดอื่น ๆ เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งยังเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrates) ที่ใช้เวลาในการย่อยนานกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrates) อย่างข้าวขาวและธัญพืชขัดสีทั่วไป เมื่อร่างกายใช้เวลาย่อยนานก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน อยู่ท้อง และช่วยลดปัญหาหิวบ่อยและการกินจุบจิบได้ จึงอาจส่งผลดีต่อคนที่ต้องการควบคุมแคลอรีหรือกำลังลดน้ำหนักด้วย


2. ลดไขมัน

ธัญพืชและผลไม้ที่เป็นส่วนประกอบของมูสลี่ล้วนอุดมไปด้วยใยอาหารหรือไฟเบอร์ (Fiber) ที่ขึ้นชื่อในเรื่องเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก โดยไฟเบอร์ยังมีส่วนช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือ LDL (Low-Density Lipoprotein) ในเลือดได้อีกด้วย มูสลี่จึงอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมันภายในเลือด อย่างผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน

นอกจากนี้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นยังบอกอีกว่า การรับประทานอาหารไฟเบอร์สูงเป็นประจำร่วมกับการเพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกายอาจลดปริมาณไขมันในร่างกาย การบริโภคมูสลี่ที่ประกอบด้วยวัตถุดิบที่มีไฟเบอร์สูงติดต่อกันจึงอาจช่วยลดไขมันสะสมภายในร่างกายและอาจช่วยให้รูปร่างดีขึ้นได้


3. เพิ่มกล้ามเนื้อและฟื้นฟูร่างกาย

แม้ว่าส่วนผสมส่วนหลักในมูสลี่จะออกไปทางคาร์โบไฮเดรตที่เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย แต่ธัญพืช เมล็ดพืช และถั่วเปลือกแข็งนั้นมีปริมาณของโปรตีนที่สูงกว่าข้าวขาวที่ผ่านการขัดสีที่คนไทยบริโภคกันอยู่ในทุกวัน ซึ่งโปรตีนจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เสริมความแข็งแรงของร่างกาย ทั้งผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก อวัยวะภายใน เส้นผม และอวัยวะทุกส่วน อีกทั้งรักษาการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ หากใครที่อยู่ในช่วงออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อหรืออยู่ในช่วงพักฟื้นจากการบาดเจ็บ การรับประทานมูสลี่อาจช่วยให้ร่างกายได้ทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน โดยเฉพาะเมื่อรับประทานคู่กับนม


4. ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

ไฟเบอร์เป็นสารอาหารที่มีคุณประโยชน์หลากหลาย ทั้งลดไขมันในเลือด ช่วยในการขับถ่าย และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ด้วย โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างปกติและอาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล โดยปัจจัยหนึ่งของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือ การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงเป็นประจำ ซึ่งการบริโภคไฟเบอร์อาจช่วยเรื่องระดับของน้ำตาลและไขมันในเลือดได้

การศึกษาชิ้นหนึ่งได้วิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติในการป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากการบริโภคอาหารเช้าในกลุ่มธัญพืช และพบว่าผู้ที่รับประทานมูสลี่หรืออาหารเช้าที่มีส่วนผสมของข้าวโอ๊ตที่มีปริมาณไฟเบอร์สูงมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคเบาหวานลดลง จึงเป็นไปได้ว่าการบริโภคอาหารเช้าที่มีไฟเบอร์สูงอย่างมูสลี่อาจป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

มูสลี่มีสารอาหารอื่น ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่เติมลงไป ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายจึงช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้เป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากผลการศึกษาจำนวนหลายชิ้นเท่านั้น ซึ่งการรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวอาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารประเภทอื่น ๆ ในแต่ละวัน ความต่อเนื่องในการรับประทาน การออกกำลังกาย โรคประจำตัว ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงพันธุกรรม

นอกจากนี้ มูสลี่สำเร็จรูป มูสลี่ที่ปรุงแต่งรสมากเกินไป หรือการรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลเสียกับร่างกายได้มากกว่าผลดี ดังนั้น ควรเลือกวัตถุดิบไม่ปรุงแต่งหรือปรุงแต่งน้อย รับประทานให้หลากหลาย และรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ


ทำมูสลี่ชามโปรดด้วยตนเอง

มูสลี่อาจเรียกได้ว่าเป็นอาหารที่สะดวกและสามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ผสมส่วนผสมที่ต้องการลงในชาม เทนมตามก็รับประทานได้แล้ว ตัวอย่างง่าย ๆ ในการทำมูสลี่ เริ่มจากข้าวโอ๊ตบดชนิดสำเร็จรูป ⅓ ถ้วย ตามด้วยกล้วยหอมหั่นแว่น 1 ลูก เมล็ดทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ เมล็ดฟักทอง 2 ช้อนโต๊ะ เติมนม โยเกิร์ต หรือเครื่องดื่มที่ชอบ คนให้เข้ากันและรับประทาน หรืออาจแช่ไว้ข้ามคืนเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น

การแช่มูสลี่ไว้ข้ามคืนหรือแช่ไว้หลายชั่วโมงอาจช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารมากขึ้น เพราะธัญพืชและถั่วบางชนิดมีสารต้านโภชนาการ (Antinutrients) เป็นส่วนประกอบ โดยสารชนิดนี้อาจลดการดูดซึมสารอาหารประเภทอื่น ๆ แต่หากแช่มูสลี่ที่เติมนมไว้หรือนำมูสลี่ไปผ่านความร้อนอาจช่วยลดระดับของสารนี้ได้

นอกจากวัตถุดิบเหล่านี้แล้ว อาจเพิ่มวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด ผลไม้แห้ง และถั่วต่าง ๆ หรืออาจเปลี่ยนชนิดของเครื่องดื่ม เพื่อเพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพและปรับเปลี่ยนสารอาหารในมูสลี่ให้ตรงกับเป้าหมายของแต่ละคน โดยอาจทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้

    เลือกนมและโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมัน
    เลือกนมจากพืชแทนหากแพ้นมวัวหรือมีภาวะไม่ทนทานต่อแลกโตส (Lactose Intoralance)
    เลือกน้ำผลไม้คั้นสดแทนน้ำผลไม้สำเร็จรูปเพื่อลดปริมาณน้ำตาลจากการแต่งรส การเลือกใช้น้ำผลไม้คั้นสดอาจช่วยเพิ่มสารอาหารประเภทวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระให้กับมื้ออาหารได้ด้วย
    เพิ่มความหวานจากธรรมชาติแทนเครื่องดื่มน้ำตาลสูงด้วยการเพิ่มผลไม้สด หรืออาจใช้น้ำผึ้งในปริมาณเล็กน้อยและโรยเครื่องเทศบางชนิด
    ระมัดระวังปริมาณและชนิดของวัตถุดิบที่อาจส่งผลต่อน้ำหนักและสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้ที่มีรสหวานจัด ผลไม้อบแห้ง เครื่องดื่มที่ปรุงแต่งกลิ่นและรส เพราะแม้ว่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ แต่หากรับประทานมากไปหรือเลือกไม่ดีก็อาจให้ผลตรงกันข้ามได้

การรับประทานมูสลี่อาจเสี่ยงต่ออาการแพ้อาหารได้ เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่แพ้อาหารประเภทถั่วและธัญพืช ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต่างเป็นส่วนประกอบหลักของมูสลี่ ดังนั้น หากมีประวัติการแพ้อาหารชนิดใด ควรหลีกเลี่ยงอาหารนั้น หรือหากรับประทานแล้วเกิดอาการผิดปกติ อย่างผื่นแดง คันผิวหนัง ไอ ปากบวม หายใจลำบาก หรือปวดท้อง ควรไปพบแพทย์ทันที

มูสลี่เป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวก ทั้งการทำและรับประทาน หากใครกำลังมองหาอาหารเช้าที่ทำง่าย ประหยัดเวลา มูสลี่ก็อาจเป็นหนึ่งในอาหารที่ตอบโจทย์เหล่านั้น เพราะสามารถทำและแช่ไว้ค้างคืนได้ พร้อมทั้งให้พลังงานและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

2
townhouse ซิตีลิงก์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ (Citylink Rama 9-Srinagarindra)
เริ่มต้น 4.5 ลบ. 

ซิตีลิงก์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ (Citylink Rama 9-Srinagarindra)
คอนเนคกับการใช้ชีวิตที่ใช่ .. สำหรับคุณด้วยการออกแบบที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น เพื่อการตอบสนองการอยู่อาศัยของคนยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น “ทาวน์โฮม” ที่มาพร้อมกับดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างลงตัวหรือ “โฮมออฟฟิศ เพื่อต่อ ยอดทางธุรกิจและพักอาศัยไปพร้อมๆกัน

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           ซิตีลิงก์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ (Citylink Rama 9-Srinagarindra)
 เจ้าของโครงการ      เอ เบสท์ เอสเตท
 ราคา                   เริ่มต้น 4.5 ลบ.

 ประเภทบ้าน          ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome), โฮมออฟฟิศ
 ลักษณะทำเล         บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         15 ไร่
 จำนวนบ้าน           175 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     7 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            ตั้งแต่ 19 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 177 ถึง 283 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          รามคำแหง, บางกะปิ, เสรีไท
 ที่ตั้ง         ถ.กาญจนาภิเษก แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ

 ขนส่งสาธารณะ            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
รร.นานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพ
รร.นานาชาติแอสคอต
เดอะพาซิโอ ทาวน์
เดอะมอลล์ บางกะปิ
รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์
รพ.รามคำแหง
สนามบินสุวรรณภูมิ

3
หมอประจำบ้าน: โรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ

ผมร่วงเป็นหย่อมไม่ทราบสาเหตุ หมายถึง อาการผมร่วงซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะที่ มีผมแหว่งเป็นหย่อม ๆ ซึ่งไม่มีสาเหตุชัดเจน คือ ตรวจแล้วไม่พบว่ามีสาเหตุใด ๆ (เช่น โรคเชื้อรา ซิฟิลิส การถอนผม รอยแผลเป็น หรือสาเหตุอื่น ๆ)

แต่มีโรคผมร่วงเป็นหย่อมอยู่ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เรียกว่า โรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ (alopecia areata) เป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราว พบมากในวัยหนุ่มสาว พบน้อยในคนอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงและชายมีโอกาสเป็นเท่า ๆ กัน ภาวะเครียดทางจิตใจอาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการได้

สาเหตุ

สันนิษฐานว่าเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (ออโตอิมมูน) คือ ร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานต่อรูขุมขน (hair follicles) ที่หนังศีรษะทำให้ผมหยุดงอก โดยที่ไม่ทราบชัดว่ามีสาเหตุอะไรที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ความเครียดทางจิตใจ

บางรายอาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคแอดดิสัน โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน หวัดจากการแพ้ หืด) เป็นต้น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงเฉพาะที่ ทำให้ผมแหว่งหายไปเป็นหย่อม ๆ มีลักษณะกลมหรือรี ขอบเขตชัดเจน ตรงกลางไม่มีเส้นผม แต่จะเห็นรูขน หนังศีรษะในบริเวณนั้นเป็นปกติทุกอย่าง ไม่แดง ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่เป็นเกล็ด หรือเป็นขุย ในระยะแรกจะพบเส้นผมหักโคนเรียงอยู่บริเวณขอบ ๆ บางรายอาจพบเส้นผมสีขาวขึ้นในบริเวณนั้น

ผู้ป่วยอาจมีผมร่วงเพียง 1-2 หย่อม จนถึงมากกว่า 10 หย่อม

ถ้าเป็นมาก อาจลุกลามจนทั่วศีรษะ จนไม่มีเส้นผมเหลืออยู่แล้วแม้แต่เส้นเดียว บางรายอาจมีอาการขนตาและขนคิ้วร่วงร่วมด้วย เรียกว่า ผมร่วงทั่วศีรษะ (alopecia totalis)

ผู้ป่วยส่วนมากจะหายได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจกินเวลาเป็นปีกว่าจะหาย (ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วยหายภายใน 1 ปี ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีผมขึ้นภายใน 5 ปี) บางรายเมื่อหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้ง ประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วยจะกำเริบซ้ำอีกภายใน 5 ปี หรือไม่อาจมีคนอื่น ๆ ในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย (โดยที่ไม่ได้เป็นโรคติดต่อแต่อย่างใด)

ในรายที่พบร่วมกับโรคอื่น ๆ (เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคแอดดิสัน โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ เป็นต้น) ก็จะมีอาการของโรคเหล่านี้ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ยกเว้นในรายที่มีโรคอื่นร่วมด้วย (เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคแอดดิสัน โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ เป็นต้น) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้ตามมาได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ สิ่งตรวจพบ และการตรวจพิเศษ เช่น การตรวจเลือด การขูดหรือตัดชิ้นเนื้อของหนังศีรษะไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

ถ้าเป็นโรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ ก็ให้ใช้ครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ หรือครีมบีตาเมทาโซนชนิด 0.1% หรือทาด้วยขี้ผึ้งแอนทราลิน (anthralin) ชนิด 0.5% วันละครั้ง ถ้าไม่ได้ผลใน 1 เดือน ก็อาจฉีดยาสเตียรอยด์ (เช่น ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์) เข้าใต้หนังในบริเวณที่เป็นทุก 2 สัปดาห์

ในรายที่เป็นรุนแรง (ผมร่วงทั้งศีรษะ) อาจต้องให้เพร็ดนิโซโลนชนิดกิน

ยาเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ผมงอกเร็วขึ้น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ควรปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์

หากต้องการใช้วิธีรักษานอกเหนือจากที่แพทย์แนะนำ ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลจริง และไม่สิ้นเปลืองเกินจำเป็น

หากมีอาการผมร่วงมาก หรือรู้สึกแลดูน่าเกลียด ให้ใส่ผมปลอม (วิก) จนกว่าจะหายดี


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้อาจมีลักษณะคล้ายโรคเชื้อราที่ศีรษะ ซึ่งสามารถตรวจให้แน่ชัด โดยการขูดเอาขุย ๆ ที่หนังศีรษะไปตรวจ ถ้าเป็นโรคเชื้อรา ก็จะพบเชื้อราที่เป็นต้นเหตุ

2. โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นจึงไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเกิดการแพร่โรคโดยการสัมผัสใกล้ชิด

3. โรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่ได้ให้การรักษา

การรักษาทางการแพทย์ด้วยการใช้สเตียรอยด์ทาหรือฉีด มีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้น

4
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ



5
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


6
ขายรถราคาพิเศษ Mitsubishi Pajero 4WD Elite Edition รถทดลองขับ ไมล์น้อย

มิตซูบิชิ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD ปี 2024
Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD ไปสู่ทุกจุดหมายด้วยพลังการควบคุมที่เหนือระดับ มาพร้อมขุมกำลังใหม่ ไฮเปอร์พาวเวอร์ (Hyper Power) เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร พร้อมหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคอมมอนเรลเจเนอเรชันใหม่ ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 (Euro 5) สร้างพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่ ประสานการทำงานกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว พร้อมโหมดการขับขี่แบบออฟโรด 4 รูปแบบ ได้แก่ Gravel, Mud/Snow, Sand, Rock ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมประหยัดน้ำมันกว่าเดิม

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 15 ต.ค. - 30 พ.ย. 2567
จองวันนี้ รับบัตรเติมน้ำมัน ฟรี! 5,000 บาท
พร้อมแถมประกันภัยชั้น 1 ฟรี 1 ปี

ราคาพิเศษ 1,509,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              Mitsubishi
   รุ่น                  มิตซูบิชิ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ SUV
   ปีที่เปิดตัว         2024


7
การจัดฟันเด็ก มีกี่แบบ

การจัดฟันในเด็ก เป็นการจัดฟันสำหรับเด็กที่มีอายุ 4-15 ปี ซึ่งการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คือตั้งแต่มีฟันน้ำนมหรือระยะฟันผสม ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะเป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของลักษณะฟัน การขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติ รวมไปถึงปัญหาการสบฟันที่มีความผิดปกติ โดยปัญหาเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาในเรื่องดังกล่าว อาจจะทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายเด็กได้ หรือเด็กบางคนอาจะส่งผลทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร จนทำให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กได้ ดังนั้น การจัดฟันในเด็กจึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เรียกว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยเทีเดียว

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในวัยเด็กนั้น พฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดขวดนม พฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ส่งผลทำให้เด็กเติบโตมามีการสบฟันที่ผิดปกติ รวมไปถึงอาจจะส่งผลต่อโครงสร้างของใบหน้าด้วย ดังนั้น เด็กที่มีปัญหาควรได้รับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่กำลังคิดจะนำบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็อาจจะสงสัยว่า การจัดฟันในเด็กนั้นมีกี่รูปแบบ และแต่ละแบบมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันอย่างไร และเราจะสามารถทราบได้อย่างไรว่า บุตรหลานของเราเหมาะสำหรับการจัดฟันในรูปแบบใด เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการเข้ารับการจัดฟันในเด็กว่ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เราต้องอธิบายก่อนว่า กาจัดฟันเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถนำบุตรหลานของท่านที่มี อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น หรือไม่จำเป็นต้องรอให้ฟันน้ำนมหลุดก่อน แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว ดังนั้น การที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจฟันตั้งแต่เล็ก


นอกจากเพื่อตรวจดูว่ามีฟันผุหรือไม่ จะได้รีบรักษา รวมทั้งให้วิธีการป้องกันฟันผุแล้ว ยังเพื่อให้เด็กตรวจพบความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันแต่เนิ่นๆ และจะได้วางแผนเวลา และวิธีการรักษาที่เหมาะสม สำหรับรูปแบบการจัดฟันในเด็ก ที่เรามักจะพบได้บ่อยหรือได้รับความนิยมมากก็มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ซึ่งเป็นการจัดฟันในเด็ก แบบใช้เครื่องมือ EF Line และการจัดฟันในเด็กแบบใช้เครื่องมือแบบติดแน่น ซึ่งสองวิธีนี้เป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งการจัดฟันแบบ EF Line จะมักนิยมใช้ในเด็กที่มีอายุประมาณ 4-7 ปี เพราะเครื่องมือสามารถเอาออกได้ เป็นการปรับโครงสร้างของ

ใบหน้าเด็ก ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งมักจะใช้จัดฟันในเด็กที่ยังมีการเจริญเติบโตอยู่ ต่อมาก็คอการจัดฟันในเด็กที่มีเครื่องมือแบบติดแน่น ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้ มักจะใช้ในเด็กที่มีอายุ 7-15 ปี เพราะเด็กในวัยยี้เริ่มมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูรักษาสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว และยังให้ความร่วมมือในการรักษากับทันตแพทย์ได้ดีอีกด้วย นี่ก็คือรูปแบบการจัดฟันในเด็กที่ได้รับความนิยมาก เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาความผิดปกติของฟันของเด็ก รวมไปถึงความผิดปกติของโครงสร้างใบหน้าด้วย

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลาของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก แบะมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

8
อาหารสายยาง: อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ที่ต้องการโปรตีนสูง/ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โปรตีน เป็นสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการในปริมาณมากในแต่ละวันเช่นเดียวกับไขมันและคาร์โบไฮเดรต ส่วนวิตามินและแร่ธาตุนั้นเป็นสารอาหารรองที่ต้องการเพียงปริมาณเล็กน้อยต่อวัน นอกจากนี้ โปรตีนยังแตกต่างจากสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันตรงที่ร่างกายของคนเราจะไม่สามารถเก็บสะสมโปรตีนไว้ใช้ในภายหลังได้อย่างคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การได้รับสารอาหารโปรตีนอย่างครบถ้วนในแต่ละวันถือเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว โดยปกติแล้วปริมาณโปรตีนที่ร่างกายของเราต้องการต่อวันนั้น ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ สุขภาพ น้ำหนัก พฤติกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าในแต่ละวันควรได้รับพลังงานกี่แคลอรี่

สำหรับผู้หญิงสุขภาพดีโดยทั่วไปจะต้องการโปรตีนอย่างต่ำวันละ 50 กรัม ส่วนผู้ชายประมาณ 60 กรัม แต่หากรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงก็อาจได้รับปริมาณมากกว่านั้น ทั้งนี้ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น ผู้ป่วยโรคไต อาจต้องการโปรตีนในปริมาณที่แตกต่างจากปกติ นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายยังมีความต้องการโปรตีนที่สูงมากกว่าปกติ ซึ่งอาหารทางการแพทย์สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะอาหารทางการแพทย์ เป็นอาหารที่กำหนดในเรื่องของปริมาณสารอาหารแบบจำเพาะอยู่แล้ว และในวันนี้เราจะมาพูดถึงอาหารทางการแพทย์ สำหรับผู้ที่ต้องการโปรตีนสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จะไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายได้อย่างเต็มที่

สำหรับอาหารทางการแพทย์ที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการโปรตีนสูง ในอาหารทางการแพทย์ก็จะมีปริมาณโปรตีนที่สูงกว่าสูตรทั่วไปมาก และมีการเติมสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันและมีส่วนช่วยลดการอักเสบ จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีความต้องการโปรตีนเพิ่มสูงขึ้นมาก เช่น โรคมะเร็ง ผู้ป่วยพักฟื้นจากการผ่าตัดใหญ่ ผู้ป่วยแผลไฟไหม้ บาดเจ็บรุนแรงเฉียบพลัน เป็นต้น ซึ่งอาหารทางการแพทย์สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้ โปรตีนอีกชนิดที่เริ่มนิยมรับประทานมากขึ้นในปัจจุบันก็คือโปรตีนผง โปรตีนแท่ง ซึ่งเป็นอาหารเสริมจากโปรตีนชนิดต่าง ๆ เช่น เวย์โปรตีน โปรตีนเคซีน หรือโปรตีนถั่วเหลือง เหล่านี้ต่างก็เป็นโปรตีนสมบูรณ์ โดยผู้ที่ไม่รับประทานสัตว์บางคนจะนิยมโปรตีนจากถั่วเหลืองมากกว่าชนิดอื่น

แต่อาหารเสริมโปรตีนจากถั่วเหลืองบางชนิดอาจมีรสชาติที่ไม่พึงประสงค์นักและละลายได้ไม่ค่อยดีในน้ำ สำหรับข้อสงสัยที่ว่าโปรตีนเหล่านี้ควรรับประทานหรือไม่และให้ผลดีอย่างไร แท้จริงแล้วโปรตีนเสริมก็อาจมีประโยชน์ในบางกรณี เพราะเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์และมีคุณภาพสูง ทว่าคนส่วนใหญ่หรือแม้แต่นักกีฬาเองก็รับสารอาหารโปรตีนได้อย่างครบถ้วนจากแหล่งอาหารทั่วไปอย่างเนื้อวัว หมู ไก่ ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนมอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีความจำเป็นเพียงบางกรณีเท่านั้นที่แนะนำให้ใช้โปรตีนเสริม

 อย่างไรก็ตาม เราต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วย ซึ่งการที่เรารับประทานโปรตีนมากเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ บางคนต้องการลดน้ำหนักจึงรับประทานคาร์โบไฮเดรตน้อยลงและเพิ่มปริมาณโปรตีนทดแทน แต่แท้จริงแล้วการลดคาร์โบไฮเดรตลงมากๆ กลับอาจส่งให้ร่างกายเกิดการต่อต้านและระบบการเผาผลาญเปลี่ยนแปลงไป โดยการรับประทานโปรตีนมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการจะสามารถทำให้เกิดการสร้างสารคีโตนที่เป็นพิษ จนไตต้องทำงานหนักเพื่อขับสารเหล่านี้ออกจากร่างกาย และยังเกิดการสูญเสียน้ำจำนวนมาก เสี่ยงต่อการเกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะเมื่อมีการออกกำลังกายอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเลือกใช้อาหารทางการแพทย์จึงควรดูที่การยอมรับรสชาติของผู้ป่วยเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยมะเร็ง อาจมีการรับรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ทำให้การยอมรับรสชาติและการบริโภคลดลง อาหารทางการแพทย์กลุ่มนี้สามารถปรับรสชาติด้วยการเติมน้ำผลไม้ เพื่อเปลี่ยนแปลงรสชาติ ก็อาจช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับรสชาติได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามต้องพึงระวังว่าการเติมน้ำผลไม้บางชนิดอาจทำให้โปรตีนในอาหารทางการแพทย์ตกตะกอน เกิดเป็นก้อน ไม่น่ารับประทานได้ ทางเราอยากให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง นอกจากนี้การออกกำลังกาย ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นนอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ก็ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำด้วย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ



9
หมอประจำบ้าน: ต่อมลูกหมากโต (Benign prostatic hyperplasia/BPH)

ผู้ชายเมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ต่อมลูกหมาก* จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเป็นก้อนโต แล้วจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ เมื่อโตมากจะเกิดแรงกดต่อท่อปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะลำบาก ซึ่งมักจะเริ่มแสดงอาการเมื่อมีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป และจะพบอาการผิดปกติได้มากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น

พบว่าผู้ชายอายุ 60 ปี จะมีอาการแสดงของโรคนี้ประมาณร้อยละ 30 และอายุมากกว่า 80 ปีจะมีอาการแสดงของโรคนี้ประมาณร้อยละ 50 บางคนอาจมีต่อมลูกหมากโตโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้

ผู้ที่มีบิดาหรือพี่น้องเป็นต่อมลูกหมากโต ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือมีภาวะอ้วน มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติทั่วไป

ส่วนการออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ลง

* ต่อมลูกหมาก (prostate gland) เป็นต่อมของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ในผู้ชาย อยู่ตรงด้านหลังของคอกระเพาะปัสสาวะในอุ้งเชิงกรานหลังกระดูกหัวหน่าว ต่อมมี 5 กลีบ หนักประมาณ 20 กรัม มีหน้าที่สร้างน้ำเมือก (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของน้ำกาม) ให้ตัวอสุจิแหวกว่ายและกินเป็นอาหาร

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อว่า ไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน (dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากโต


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ต้องออกแรงเบ่งหรือรอนานกว่าจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ ทำให้ใช้เวลาในการถ่ายปัสสาวะนาน ปัสสาวะไม่พุ่ง ลำปัสสาวะเบี้ยวหรือเล็กลง มีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุดและปัสสาวะบ่อย ห่างกันไม่ถึง 1-2 ชั่วโมง มีความรู้สึกเวลาปวดปัสสาวะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที อาจถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย ถ่าย ๆ หยุด ๆ หลายครั้ง ปัสสาวะออกเป็นหยด ๆ ในช่วงท้ายของการถ่าย หลังเข้านอนตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นปัสสาวะบ่อย

อาการมักค่อย ๆ เป็นมากและดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยใช้เวลาเป็นแรมปี จนกระทั่งต่อมลูกหมากโตมากและกดท่อปัสสาวะอย่างรุนแรงก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก มีความรู้สึกปวดปัสสาวะ ปวดตึงท้องน้อย และคลำได้ก้อนของกระเพาะปัสสาวะที่มีปัสสาวะคั่งเต็ม บางครั้งอาการปัสสาวะไม่ออกเฉียบพลันอาจเกิดหลังจากใช้ยาที่มีฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิก เช่น แอนติสปาสโมดิก ยาแก้แพ้ ยาทางจิตประสาท เป็นต้น และยากลุ่มกระตุ้นประสาทซิมพาเทติก (sympathomimetic) เช่น อะดรีนาลิน สูโดเอฟีดรีน เป็นต้น หรืออาจเกิดหลังดื่มแอลกอฮอล์ วางยาสลบ หรือนอนอยู่นาน ๆ (ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย)

บางรายอาจมีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด เนื่องจากการเบ่งถ่ายนาน ๆ อาจทำให้หลอดเลือดดำที่ท่อปัสสาวะคั่ง แล้วแตกมีเลือดออกได้


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการติดเชื้อง่าย (เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) ไตวาย

อาจทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะล้า ผนังกระเพาะปัสสาวะหย่อนยานหรือเป็นถุงโป่งพอง หรือเกิดนิ่วกระเพาะปัสสาวะ

ในรายที่มีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะนาน อาจทำให้ท่อไตและไตบวม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

การใช้นิ้วมือตรวจทางทวารหนัก (โดยการใส่ถุงมือและมีสารหล่อลื่น) อาจคลำได้ต่อมลูกหมากที่โตกว่าปกติ

ในรายที่มีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก อาจคลำได้ก้อนของกระเพาะปัสสาวะที่มีปัสสาวะคั่งเต็ม

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพรังสีทางเดินปัสสาวะโดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดดำ (intravenous urography) การตรวจอัลตราชาวนด์ การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ cystoscopy เป็นต้น นอกจากนี้อาจทำการตรวจปัสสาวะ (ดูการติดเชื้อหรือเลือดออก) ตรวจระดับครีอะตินีนในเลือด (ดูภาวะไตวาย) ตรวจสารพีเอสเอในเลือด (PSA)*

ในรายที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (เช่น ตรวจพบระดับพีเอสเอในเลือดสูงผิดปกติ) แพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก

บางรายแพทย์อาจทำการทดสอบความแรงและปริมาณของการถ่ายปัสสาวะ (urinary flow test) และการวัดปริมาณปัสสาวะที่ค้างหลังถ่ายปัสสาวะ (postvoid residual volume test) เพื่อติดตามประมาณความรุนแรงของโรค

* พีเอสเอ (Prostate specific antigen/PSA) เป็นสารที่สร้างโดยเนื้อเยื่อต่อมลูกหมาก ระดับพีเอสเอในเลือดมีค่าปกติต่ำกว่า 4 นาโนกรัม/มล. ถ้ามีค่าสูงกว่าปกติ แสดงว่าอาจมีพยาธิสภาพของต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัด เป็นต้น

ถ้ามีค่าระหว่าง 4-10 นาโนกรัม/มล. อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็งก็ได้

ถ้ามากกว่า 10 นาโนกรัม/มล. มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งมักจะมีค่าต่ำกว่า 20 นาโนกรัม/มล.

ถ้ามีค่ามากกว่า 100 นาโนกรัม/มล. มักจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดแพร่กระจาย

ถ้ามีค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นปีละ 0.8 นาโนกรัม/มล. หรือมากกว่า อาจบ่งชี้ว่ากำลังมีมะเร็งเกิดขึ้น

ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากบางรายก็อาจมีค่าพีเอสเออยู่ในระดับปกติก็ได้


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นระยะแรกเริ่ม มีอาการเล็กน้อย ไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ เฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ

2. ในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากมากขึ้น มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือเป็นมาก แต่อยู่ระหว่างรอผ่าตัดหรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนี้

    ยากลุ่มปิดกั้นแอลฟา (alpha-blockers) เช่น พราโซซิน (prazosin) เทราโซซิน (terazosin) 2-10 มก. หรือดอกซาโซซิน (doxazosin) เป็นต้น ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อต่อมลูกหมากและกล้ามเนื้อหูรูดที่คอกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ถ่ายปัสสาวะได้คล่องขึ้น นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
    ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์แอลฟารีดักเทส (alphareductase inhibitors) เช่น ไฟนาสเตอไรด์ (finasteride) ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้เทสโทสเทอโรนเปลี่ยนเป็นไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน (ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากโต) ก็จะทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลงได้ประมาณร้อยละ 30 ยานี้มีข้อดีทำให้ผมดกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีผมบางหรือศีรษะล้านร่วมด้วย

3. ในรายที่ใช้ยาไม่ได้ผล หรือมีอาการปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะเป็นเลือดบ่อย ๆ เป็นโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะบ่อย ๆ มีนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือผนังกระเพาะปัสสาวะหย่อนยานหรือเป็นถุงโป่งพอง แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดซึ่งมีอยู่หลายวิธี ในปัจจุบันนิยมวิธีผ่าตัดโดยการใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ (transurethal resection of the prostate/TURP) แต่ถ้าต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่มาก ก็อาจต้องทำการผ่าตัดโดยการเปิดเข้าหน้าท้อง (suprapubic หรือ retropubic prostectomy) วิธีนี้อาจทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ และภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมากกว่าการผ่าตัดโดยการใช้กล้อง

ผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจเลือกรักษาด้วยวิธีอื่นที่ง่ายและเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัด เช่น

    การขยายท่อปัสสาวะโดยการใส่ท่อคาไว้ (prostatic urethral stent) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ผ่าตัดไม่ได้หรือปฏิเสธการผ่าตัด
    การจี้ต่อมลูกหมากด้วยแสงเลเซอร์ (transurethral laser incision of prostate/TULIP) หรือด้วยไฟฟ้า (transurethral electrovaporization of prostate)
    การใช้คลื่นไมโครเวฟ (microwave thermotherapy) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ (high frequency focus ultrasound thermotherapy) หรือคลื่นวิทยุ (radiofrequency vaporization) ทำให้เกิดความร้อนบริเวณต่อมลูกหมากจนเนื้อเยื่อตาย ต่อมลูกหมากก็จะฝ่อลง ทำให้ปัสสาวะได้คล่องขึ้น

หากวิธีเหล่านี้ไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

4. ให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ใช้สายสวนปัสสาวะในรายที่ปัสสาวะไม่ออก เป็นต้น

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก ต้องออกแรงเบ่งหรือรอนานกว่าจะถ่ายปัสสาวะออกมาได้ ใช้เวลาในการถ่ายปัสสาวะนาน ปัสสาวะไม่พุ่ง ลำปัสสาวะเบี้ยวหรือเล็กลง มีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุดและปัสสาวะบ่อย มีความรู้สึกเวลาปวดปัสสาวะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นต่อมลูกหมากโต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากยาหลายชนิด (เช่น ยาแก้แพ้แก้หวัด ยาแก้ปวดท้อง กลุ่มแอนติสปาสโมดิก) อาจทำให้ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะไม่ออกได้
    ลดการดื่มน้ำก่อนเข้านอน 1-2 ชั่วโมง เพื่อลดปริมาณปัสสาวะ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาถ่ายปัสสาวะตอนกลางดึก
    หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารเหล่านี้กระตุ้นให้มีปัสสาวะออกมาก ทำให้อาการเป็นมากขึ้น
    ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหารการกิน
    ถ่ายปัสสาวะทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกปวดถ่าย อย่าอั้นปัสสาวะ อาจทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะยืดตัวมากเกิน ทำให้ผนังกระเพาะปัสสาวะหย่อนยานได้
    หลังถ่ายปัสสาวะสุดในครั้งแรกแล้ว รอสักครู่เดียวให้ถ่ายอีกครั้ง เพื่อลดปริมาณปัสสาวะที่คั่งค้าง
    หมั่นเคลื่อนไหวร่างกาย (การนั่งหรือนอนนาน ๆ อาจทำให้ปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากเกิน)
    รักษาร่างกายให้อบอุ่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีอากาศเย็น เพราะมีผลให้มีปัสสาวะคั่งมากเกิน


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการไข้ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่นหรือเป็นเลือด หรือปัสสาวะไม่ออก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

โรคนี้เกิดมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น และยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    กินผักและผลไม้ให้มาก และลดการกินอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล
    ออกกำลังกายเป็นประจำ

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เป็นภาวะที่ไม่รุนแรง และมีทางรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด แต่ถ้าปล่อยไว้ อาจมีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงได้

2. อาการถ่ายปัสสาวะลำบากในผู้ชายสูงอายุ อาจมีสาเหตุจากโรคมะเร็งของต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะก็ได้ ซึ่งบางครั้งอาจแยกอาการจากต่อมลูกหมากโตไม่ออก ดังนั้นทางที่ดีควรแนะนำให้ผู้ชายสูงอายุที่มีอาการปัสสาวะลำบากไปตรวจที่โรงพยาบาลทุกราย

10
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์: เกีย KIA EV5 Earth Long Range ปี 2024
1,599,000 บาท 

เกีย KIA EV5 Earth Long Range ปี 2024
Kia EV5 Earth Long Range มาพร้อมตัวเลือกระบบส่งกําลังไฟฟ้าหลากรูปแบบ โดยในรุ่นนี้ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 88.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด 160 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางจากพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน NEDC สูงสุดถึง 665 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลา 8.9 วินาที ด้วยกําลังมอเตอร์สูงสุด 217 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 310 นิวตันเมตร มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยมากมาย

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์          KIA
   รุ่น               เกีย KIA EV5 Earth Long Range ปี 2024
   ประเภทรถ      รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว      2024
   ราคา            1,599,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรค
ระบบควบคุมระยะการจอด (เซ็นเซอร์ ด้านหน้า, ข้าง และหลัง)
ไฟหน้า LED (แบบ Multi Reflection 3 จุด,ไฟหรี่หน้าแบบ LED)
ไฟท้าย LED
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (มือจับประตูแบบ Flush type ทํางานแบบ อัตโนมัติ,วัสดุตกแต่งซุ้มล้อ และกาบข้างสีดําเงา)
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้เป็นชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน)
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (บริเวณด้านหน้า และหลัง)
ขนาดยางหน้า-หลัง (235/55R19)
ไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)

   ภายใน
พวงมาลัยหุ้มหนัง (สังเคราะห์ แบบ 4 ก้าน ปรับระดับ 4 ทิศทาง)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (แผงปิดสัมภาระอเนกประสงค์แบบปรับตั้งได้)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (ด้วยสวิตช์)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟา Permanent Magnet Synchronous Motor กำลัง 217 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.9 วินาที

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์                 สวิตช์เกียร์แบบ Column-type Shift by Wire พร้อม Paddle Shift ปรับการทํางานของ Regenerative Brake
   ระบบเบรค ABS            มี
   ชนิดแบตเตอรี่              ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่                  88.1 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง     665 กม. มาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC) สูงสุด  7 kW Single-phase / 11 kW Three-phase รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) สูงสุด 141 kW ระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% ถึง 100% ผ่าน AC 8 ชม. 10 นาที ระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% ถึง 80% ผ่าน DC Fast charge EVSE 38 นาที

   น้ำหนักตัวรถ            2,030 กก.
   ประเภทยางรถยนต์     -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)          ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน         ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESC และควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSA)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ (พร้อมครีบระบายความร้อน)
กุญแจรีโมท (Smart Key)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (พร้อมระบบ Multi-Collision Brake)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในช่องจราจร, ระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับรถยนต์ คน และจักรยาน พร้อม Junction Assist)
เข็มขัดนิรภัย (คูู่หน้าแบบ 3 จุด ELR ปรับระดับสูง -ต่ำ เข็มขัดนิรภัยแถวที่ 2 แบบ 3 จุด ELR และ ระบบแจ้งเตือนมีผู้โดยสารอยู ่ด้านหลัง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HAC และควบคมเบรกขณะลงทางลาดชัน DBC)
กล้อง (มองรอบทิศทาง)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (ที่กระจกมองข้าง,ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาบนหน้าจอ)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (และระบบป้องกันการออกจากรถขณะมีรถวิ่งมาด้านข้าง)
เบรกมือไฟฟ้า (พร้อม Auto Brake Hold)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ((ISOFIX) บนเบาะแถวที่ 2 และสวิตช์ควบคุมระบบป้องกันเด็กเปิดประตูหลังแบบไฟฟ้า)

11
ตรวจอาการโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ก็เรียก) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

สาเหตุ

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อม ๆ กัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง (ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน) ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อในบริเวณข้อของตัวเอง เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune)

พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น เช่น การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน

อาการ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น

ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่าตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย

ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก

ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า

บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย (ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย) ก็ได้

อาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสาย ๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะทุเลา

บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ

อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์

ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะแข็งและพิการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หูอื้อ หูตึง หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้ข้อพิการผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ บางรายอาจมีการผุกร่อนของกระดูก ในบ้านเราพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น (โรคคาร์พัลทูนเนล) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคปอดเรื้อรัง (จากการอักเสบและกลายเป็นพังผืดของเนื้อเยื่อปอด)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมเหมือนรูปกระสวย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR)* และ c-reactive protein สูง และมักจะพบรูมาตอยด์แฟกเตอร์ (rheumatoid factor) และสารภูมิต้านทานที่มีชื่อว่า "Anti-cyclic citrullinated peptide (anti-CCP) antibodies"

การตรวจเอกซเรย์ข้อจะพบมีการสึกกร่อนของกระดูก และความผิดปกติของข้อ

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจอัลตราซาวนด์และถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

*อีเอสอาร์ (ESR) ย่อจาก erythrocyte sedimentation rate หมายถึง อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง ค่าปกติต่ำกว่า 20 มม. ใน 1 ชั่วโมง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

เริ่มแรกจะให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก นาโพรเซน)

ยานี้ต้องกินติดต่อกันทุกวัน นานเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ จนกว่าอาการจะทุเลา

ขณะเดียวกันก็จะให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งมักจะแนะนำให้ทำในตอนเช้านาน 15 นาที

ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการฝึกกายบริหารในท่าต่าง ๆ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ข้อทุเลาความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหาเวลาพักผ่อน สลับกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายเป็นพัก ๆ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และอาจต้องเข้าเฝือกเพื่อให้ข้อที่ปวดได้พักอย่างเต็มที่

ถ้าให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ไม่ได้ผล อาจต้องให้สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ แต่จะให้กินเป็นระยะสั้น

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากลุ่ม Disease-modifying antirheumatic drugs (DMARDs) ที่ช่วยชะลอความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะข้อถูกทำลาย เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine), เมโทเทรกเซต (methotrexate), ซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine), ไซโคลสปอริน (cyclosporin), เลฟลูโนไมด์ (leflunomide) เป็นต้น ซึ่งมักจะได้ผลค่อนข้างดี และช่วยให้โรคมีระยะสงบ ไม่มีอาการ (remission) ไปได้

หากไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบกลุ่มใหม่ ๆ (เช่น etanercept, infliximab, rituximab, baricitinib, tofacitinib) ซึ่งมักให้ร่วมกับเมโทเทรกเซต (methotrexate)

ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล และข้อถูกทำลายผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไข รวมทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (joint replacement) เพื่อให้กลับมาใช้การได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก กำมือลำบาก) ซึ่งมักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า หรือมีอาการปวดข้อนิ้วมือทุกข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง  ข้อนิ้วมือบวมเหมือนรูปกระสวย หรือมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นบริหารข้อตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง, ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ, แช่หรืออาบน้ำอุ่น
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
    ออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีระยะสงบ (ไม่มีอาการ) และอาการข้ออักเสบกำเริบสลับกันไป ส่วนน้อยที่อาจหายขาด และส่วนน้อยที่จะเป็นรุนแรงเกิดข้อพิการในเวลารวดเร็ว ผู้ป่วยควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง การใช้ยา การรักษาทางกายภาพบำบัด การกำหนดเวลาพักผ่อน ทำงาน และออกกำลังกายให้พอเหมาะ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำงานได้เป็นปกติส่วนใหญ่

2. หัวใจของการรักษาโรคอยู่ที่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ กล่าวคือ จะต้องพยายามเคลื่อนไหวข้อและฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่ง ๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่งข้อยิ่งฝืดแข็ง และขยับยากยิ่งขึ้น

3. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะถึงแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่น ๆ ที่ผสมอยู่ในยาชุด

4. เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนี้ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ กัน ผู้ป่วยควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้ หากมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียง (เช่น ปวดแสบ ปวดจุกแน่นท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เป็นไข้ หรือเป็นโรคติดเชื้อบ่อย) เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

5. ชาวบ้านอาจมีความสับสนในคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เรียกเกี่ยวกับอาการปวดข้อ เช่น คำว่า รูมาติสซั่ม (rheumatism) ซึ่งหมายถึงภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวด ปวดเมื่อย หรือปวดล้าของข้อ เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงเป็นคำที่ใช้เรียกอาการปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยรวม ๆ ซึ่งสามารถแบ่งแยกสาเหตุได้มากมาย (ตรวจอาการปวดข้อ) ดังนั้น รูมาติสซั่ม (โรคปวดข้อ) จึงอาจมีสาเหตุจากข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไข้รูมาติก โรคเกาต์ และอื่น ๆ ไม่ได้หมายถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยเฉพาะ

12
มือถือ Huawei หัวเหว่ย Huawei P60 Pro (12GB/512GB)
N/A

หัวเหว่ย Huawei P60 Pro (12GB/512GB)
Huawei P60 Pro หน้าจอ LTPO OLED ขนาด 6.67 นิ้ว มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความจุแบตเตอรี่ 4,815 mAh รองรับชาร์จไว 88W รองรับชาร์จไร้สาย 50W

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น            หัวเหว่ย Huawei P60 Pro (12GB/512GB)
   ราคากลาง          -
   จำนวนซิม         1 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์        จอสัมผัส
   สี                  Black, Green, Violet

   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850 / 900 / 1800 / 1900)
3G(HSDPA 800 / 850 / 900 / 1700(AWS) / 1900 / 2100)
4G(1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, 12, 13, 17, 18, 19, 20, 26, 28, 32, 34, 38, 39, 40, 41, 66)

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 161 x กว้าง 74.5 x หนา 8.3 มม., น้ำหนัก 200 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)   512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด    Nano Memory
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ      ความจุแบตเตอรี่ 4,815 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ             จอสัมผัส (LTPO OLED)
   ความละเอียด      6.67 นิ้ว, 444 ppi, 1,220 x 2,700 px
   รายละเอียดอื่น
ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 3.1 (China), EMUI 13.1 (Europe), no Google Play Services
ประมวลผลชิปเซ็ต Qualcomm SM8475 Snapdragon 8+ Gen 1 4G
กล้องหลัง 3 เลนส์ เลนส์หลัก 48 MP, f/1.4-f/4.0 + เลนส์ telephoto 48 MP, f/2.1 + เลนส์ ultrawide 13 MP, f/2.2
มีระบบเซนเซอร์ Fingerprint (under display, optical), accelerometer, gyro, proximity, compass, color spectrum
รองรับชาร์จไว 88W
รองรับชาร์จไร้สาย 50W

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (48 Mpx), กล้องหน้า (13 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                Auto Focus, Flash

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)            Octa-core (1x3.19 GHz Cortex-X2 & 3x2.75 GHz Cortex-A710 & 4x2.0 GHz Cortex-A510)
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)     Adreno 730
   หน่วยความจำ (RAM)               12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                Infrared, USB(Type-C 3.1, OTG), Bluetooth(5.2, A2DP, LE), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct)
   ระบบรับส่งข้อความ                    SMS, MMS, EMAIL
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต              3G, GPRS, EDGE, WiFi, 4G
   ระบบ GPS                            GPS (L1+L5), GLONASS (B1I+B1c+B2a), BDS (B1I+B1c+B2a), GALILEO (E1+E5a), QZSS (L1+L5), NavIC

13
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ช่วยทำให้ลดปัญหาโรคฟันผุและโรคเหงือกได้ ?

ปัญหาโรคฟันผุถือว่าเป็นปัญหาที่หลายคนักจะพบเจอ ยิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องป่กและฟันด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ สำหรับโรคฟันผุคือ โรคของฟันที่มีเนื้อฟันถูกทำลายไป โดยมีการทำลายแร่ธาตุที่เป็น องค์ประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเหล่านี้ จนทำให้เกิดเป็นรูหรือโพรงที่ตัวฟัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะลุกลาม ขยายใหญ่และลึกขึ้นเรื่อยๆ เกิดการเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และสุดท้ายอาจต้องสูญเสียฟันไปในที่สุด ซึ่งการสูญเสียฟัน นอกจากนี้ คราบฟัน หรือคราบแบคทีเรีย

ซึ่งจะเกาะอยู่บนผิวของฟัน แบคทีเรียจะเปลี่ยนสภาพน้ำตาลและแป้งให้เป็นกรด มีฤทธิ์ทำลายแร่ธาตุที่ผิวฟัน จนก่อให้เกิดเป็นรู โดยเริ่มจากขนาดเล็กมากๆ ลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคฟันผุ โดยปกติแล้ว การเกิดโรคฟันผุมักจะพบได้บ่อยในเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน โดยมีปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ เช่น การบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต อาการปากแห้ง การใช้ยาบางชนิด และที่สำคัญก็คือ การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งในข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นอกจากจะทำให้เกิดฟันผุแล้ว ยังสามารถทำให้เกิดโรคเหงือกได้อีกด้วย ดังนั้น เราจึงควรดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันให้สะอาด เพื่อที่จะได้ลดการเกิดฟันผุได้

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของฟันนั้น ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันก็มีปัญหาในเรื่องของการทำความสะอาดฟันด้วยเช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่เข้ารับการจัดฟันที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ทำให้ทำความสะอาดฟันได้ยาก และอาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึงด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุและการเกิดโรคเหงือกได้ แต่สำหรับผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ในเรื่องของการทำความสะอาด แน่นอนว่าผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฝันโรคได้นั่นเอง

และนอกจากการทำความสะอาดแล้วผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสยังสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ เพราะขณะรับประทานอาหารผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ทำให้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายและเต็มที่มากยิ่งขึ้น แถมไม่ต้องกังวลในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องมีระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำตามที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ ถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ก็จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติและยังมีรอยยิ้มที่สดใสมั่นใจได้ด้วย

หากใครสนใจเท่ากับการจัดฟันแบบใสก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำ ได้ที่คลินิกของเรา เพราะเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันแบบใสและมีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ คลินิกของเรายังให้บริการทางด้านทันตกรรมอย่างครบวงจร มีเครื่องมือทางการทันตกรรมที่ทันสมัย มีความปลอดภัย นอกจากนี้ คลินิกของเราได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการการจัดฟันแบบใสได้อย่างปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีรอยยิ้มที่สดใสมั่นใจและยังทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

14
หมอประจำบ้าน: ไส้เลื่อน (Hernia)

ไส้เลื่อน หมายถึง ภาวะที่มีลำไส้บางส่วนเคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนมาตุงที่ผนังหน้าท้อง เห็นเป็นก้อนนูนตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของหน้าท้อง พบบ่อยที่บริเวณสะดือ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดช่องท้อง*

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากรทุกกลุ่มอายุ สำหรับกลุ่มอายุมากกว่า 45 ปีพบได้ประมาณร้อยละ 4

ไส้เลื่อน แบ่งออกเป็นหลายชนิดตามสาเหตุและตำแหน่งที่พบ อาทิ

    ไส้เลื่อนสะดือ (umbilical hernia) หรือ สะดือจุ่น พบบ่อยในทารก มักมีอาการตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเด็กร้องไห้จะเห็นสะดือโป่ง ส่วนใหญ่จะหายได้เองก่อนอายุได้ 1-2 ปี ส่วนน้อยจะหายเมื่ออายุได้ 2-5 ปี

ไส้เลื่อนสะดือ ก็อาจพบในผู้ใหญ่ได้ เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้หน้าท้องบริเวณรอบสะดืออ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ไส้เลื่อนขาหนีบ (inguinal hernia) นับเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด (ประมาณร้อยละ 70 ของไส้เลื่อนทั้งหมด) พบในเด็กโตและผู้ใหญ่ และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 10 เท่า (พบว่าในชั่วชีวิตของทุกคนมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนประมาณร้อยละ 27 สำหรับผู้ชาย ร้อยละ 3 สำหรับผู้หญิง) จะพบอาการมีก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ในผู้ชายบางรายอาจมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ถุงอัณฑะ เรียกว่า "ไส้เลื่อนลงอัณฑะ"

ผู้ป่วยอาจมีหน้าท้องตรงบริเวณขาหนีบอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด แต่อาการของไส้เลื่อนมักจะปรากฏเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน บางรายอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง

    ไส้เลื่อนต้นขา (femoral hernia) พบที่บริเวณต้นขาด้านใน ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าขาหนีบ พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของไส้เลื่อนทั้งหมด พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
    ไส้เลื่อนรอยแผลผ่าตัด (incisional hernia) พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของไส้เลื่อนทั้งหมด เนื่องจากผนังหน้าท้องในบริเวณแผลผ่าตัดมีความอ่อนแอกว่าปกติ ทำให้ลำไส้ไหลเลื่อนเป็นก้อนนูนที่บริเวณนั้น

*นอกจากนี้ยังมีไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ที่พบบ่อยได้แก่ ไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia/diaphragmatic hernia) ซึ่งเป็นภาวะที่กระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้

สาเหตุ

เกิดจากผนังหน้าท้องบางจุดมีความอ่อนแอ (หย่อนยาน) ผิดปกติ ทำให้ลำไส้ที่อยู่ข้างใต้เคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนเข้าไปในบริเวณนั้น ความบกพร่องดังกล่าวอาจมีมาแต่กำเนิด หรืออาจเกิดขึ้นในภายหลังเมื่ออายุมากขึ้นก็ได้

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดไส้เลื่อน ได้แก่

    การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นไส้เลื่อน
    การมีประวัติเป็นไส้เลื่อนในวัยเด็กหรือเคยผ่าตัดไส้เลื่อนมาก่อน
    การมีประวัติผ่าตัดช่องท้องมาก่อน
    ผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเสื่อมของผนังหน้าท้อง
    ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังยังไม่เจริญแข็งแรงเต็มที่
    ไอเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมอักเสบ หรือถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งเกิดจากการสูบบุหรี่
    ท้องผูกเรื้อรัง ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ
    ต่อมลูกหมากโต ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายปัสสาวะเป็นประจำ
    การมีบุตรหลายคน เนื่องจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรบ่อยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ และมีแรงดันในช่องท้องสูง
    ภาวะอ้วน การยกของหนักเป็นประจำ การมีน้ำในช่องท้อง (เช่น ในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง) และการล้างไตผ่านทางช่องท้อง (ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง) ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูง

อาการ

ทารกที่สะดือจุ่น จะมีอาการสะดือโป่งชัดเจนเวลาร้องไห้ โดยเด็กสบายดี และไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

ในผู้ใหญ่ หากไส้เลื่อนมีขนาดเล็ก อาจไม่มีอาการชัดเจน เช่น ในผู้หญิงที่เป็นไส้เลื่อนต้นขา มักไม่พบก้อนนูนที่บริเวณต้นขา แต่อาจมีอาการปวดบริเวณต้นขาเป็นครั้งคราวโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกว่าก้อนมีขนาดโตขึ้นจึงจะเห็นก้อนนูนได้ชัด

ในรายที่มีไส้เลื่อนขนาดใหญ่ จะมีอาการเป็นก้อนนูนตรงบริเวณที่เป็นไส้เลื่อน (สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) สำหรับไส้เลื่อนขาหนีบซึ่งพบมากในผู้ชาย หากมีลำไส้เลื่อนไหลลงมาที่ถุงอัณฑะ จะพบว่ามีก้อนนูนที่ถุงอัณฑะ ทำให้อัณฑะบวมโตกว่าอีกข้างที่ปกติ

ก้อนนูนของไส้เลื่อนมักจะเห็นชัดขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย เวลานอนหงายก้อนจะเล็กลงหรือยุบหายไป ก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด (นอกจากในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจมีอาการปวดไส้เลื่อนอย่างฉับพลัน หรือปวดท้องรุนแรง)

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้จนไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ผนังหน้าท้องจำนวนมากขึ้น จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ กล่าวคือ ไส้เลื่อนอาจเกิดการติดค้างอยู่ที่บริเวณผนังหน้าท้อง (เช่น สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) ไม่สามารถไหลกลับเข้าช่องท้องได้ตามปกติ เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดติดคา (incarcerated hernia) ซึ่งอาจทำให้มีอาการของลำไส้อุดกั้น คือปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อย ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจจาระ

ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดค้างอยู่ถูกบีบรัดจนบวมและขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดเนื้อเยื่อลำไส้จะตายเน่า (gangrene) เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด (strangulated hernia) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง ก้อนไส้เลื่อนปวดเจ็บมาก และผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงหรือสีคล้ำ ต่อมาลำไส้ที่ตายเน่าเกิดการทะลุก็จะกลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบสะดือโป่ง หรือก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด

บางรายแพทย์อาจวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

1. สะดือจุ่นในเด็กเล็ก แนะนำให้สังเกตอาการโดยไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขเมื่อสะดือจุ่นมีอาการปวด, มีอาการปวดท้องและอาเจียนรุนแรง (จากภาวะลำไส้อุดกั้นแทรกซ้อน), สะดือจุ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1-2 ซม., เมื่อครบอายุ 2 ปีแล้วสะดือจุ่นขนาดยังไม่เล็กลง หรือเมื่ออายุครบ 5 ปีแล้วยังไม่ยุบหายดี

2. สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไส้เลื่อนสะดือ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการปวดหรือก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น

3. ไส้เลื่อนที่พบบริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด ถ้ามีขนาดเล็กและไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ และนัดมาตรวจเป็นระยะ หากพบว่าก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีอาการปวด หรือผู้ป่วยมีความวิตกกังวล แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน คือ นัดให้มารับการผ่าตัดเมื่อสะดวกและมีความพร้อม

4. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง หรือก้อนติดคา แพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเร่งด่วน

ผลการรักษา สำหรับไส้เลื่อนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดช่วยให้หายเป็นปกติได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีไส้เลื่อนเกิดขึ้นใหม่ในเวลาต่อมาได้

ในรายที่ปล่อยไว้จนกลายเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา และเกิดภาวะลำไส้อุดกั้น และ/หรือเป็นไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด ถ้าได้รับการผ่าตัดอย่างทันท่วงทีก็จะปลอดภัยและหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการก้อนนูนที่บริเวณหน้าท้อง ขาหนีบ หรือต้นขาเป็นครั้งคราวขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไส้เลื่อน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด สำหรับกรณีต่อไปนี้

    ในรายที่ยังไม่ได้รักษาด้วยการผ่าตัด และแพทย์แนะนำให้สังเกตอาการ หรือรอนัดผ่าตัด หากมีอาการไส้เลื่อนติดค้างอยู่ข้างนอก ไม่ไหลกลับเข้าไปในช่องท้องอย่างที่เคย ก้อนไส้เลื่อนมีอาการปวดเจ็บ หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียนมาก ควรไปพบแพทย์โดยด่วน
    ในรายที่แพทย์รักษาด้วยการผ่าตัด และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน หากมีอาการผิดปกติ (เช่น มีไข้ ปวดท้อง อาเจียน กินอาหารไม่ได้ แผลอักเสบ เป็นต้น) มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา หรือมีความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากผู้ป่วยไส้เลื่อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไส้เลื่อนขาหนีบ ไส้เลื่อนสะดือ) มักเกิดจากการมีความอ่อนแอของผนังหน้าท้องมาแต่กำเนิด

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแรงดันในช่องท้องสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนและการกำเริบซ้ำของโรคนี้     

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ไม่สูบบุหรี่ เพื่อป้องกันโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง (ซึ่งทำให้มีอาการไอเรื้อรัง)
    ป้องกันท้องผูกด้วยการกินอาหารที่มีกากใยมาก และดื่มน้ำมาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
    หากมีอาการไอเรื้อรัง ท้องผูก ต่อมลูกหมากโต ควรรีบดูแลรักษาให้อาการทุเลาลง

ข้อแนะนำ

1. ควรอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจถึงสาเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นของโรคไส้เลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้เลื่อนที่ขาหนีบ ซึ่งพบว่าบางคนรู้สึกว่าการมีก้อนนูนที่ขาหนีบเป็นสิ่งที่น่าละอาย และไม่กล้าไปพบแพทย์

2. การรักษาไส้เลื่อนให้หายขาดมีอยู่ทางเดียวคือการผ่าตัดซ่อมแซมผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ซึ่งแพทย์จะนัดทำในเวลาที่เหมาะสม ระหว่างที่รอนัดมาผ่าตัด (ซึ่งอาจนานเป็นแรมปี) ผู้ป่วยควรสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าหากมีอาการปวดท้อง อาเจียน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

3. ในปัจจุบันการผ่าตัดมีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (open surgery) ซึ่งทำกันมาแต่เดิมแล้ว ยังมีวิธีใหม่ ๆ อาทิ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (laparoscopic surgery) และการใช้แขนกลช่วยผ่าตัดด้วยระบบดาวินชี (robotic-assisted da Vinci surgical system) ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีใหม่ ๆ ให้ผลดีกับผู้ป่วยหลายประการ เช่น รอยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมากและเจ็บแผลน้อย เสียเลือดน้อย เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อย อยู่โรงพยาบาลเพียงไม่กี่วัน และฟื้นตัวได้เร็ว


15
เลือกของใส่บาตร ทำบุญ ตามวันเกิด เสริมดวง เสริมชะตาชีวิต

มาเพิ่มแต้มบุญ ด้วยการใส่บาตรทำบุญตามวันเกิดกันดีกว่า สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเตรียมกับข้าวใส่บาตร หรือเตรียมของใส่บาตรยังไงดี ลองใช้ลิสต์นี้เป็นไอเดียได้ ยิ่งใครที่เตรียมทำกับข้าวใส่บาตรด้วยตัวเอง ก็จะได้เตรียมวางแผนไปชอปปิงถูก ว่าจะซื้อของอะไรบ้าง เกิดวันไหน เตรียมของใส่บาตรยังไงดี ให้ช่วยเสริมดวงชะตาชีวิตให้ราบรื่น ไปดูกัน!

ของใส่บาตร ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันอาทิตย์

สำหรับคนที่เกิดวันอาทิตย์ วิบากกรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็อย่างเช่น มักจะเจอคนที่ไม่ค่อยจริงใจ ทำบุญกับคนไม่ขึ้น มักจะปวดหัวและมีปัญหาเพราะคนอื่น ช่วยแล้วคนมักจะไม่เห็นคุณค่า เจ็บซ้ำ ๆ กับความไว้ใจอยู่ตลอด อย่างเรื่องปัญหาเงิน ๆ ทอง ๆ การทำบุญในวันพระจะช่วยเสริมดวงได้ หมั่นทำบุญกับคนยากไร้ อย่างเช่น มูลนิธิที่เกี่ยวกับผู้ป่วยโรคหัวใจ มูลนิธิคนพิการทางสมอง หรือมูลนิธิคนตาบอด ให้ทุนการศึกษาเด็กยากไร้และอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร จะช่วยผ่อนจากหนักเป็นเบาได้

    อาหารคาว : อาหารประเภทไข่และแกงกะทิ เช่น ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ต้มจืดไข่น้ำ
    แกงเทโพ แกงเขียวหวาน แกงกะทิหมู แกงคั่ว แกงมัสมั่น พะแนง
    อาหารหวาน : บัวลอยไข่หวาน วุ้นไข่ วุ้นกระทิ น้ำมะพร้าว น้ำขิง ผลไม้เช่น เงาะ
    ของใส่บาตร : อุปกรณ์ให้แสงสว่าง อย่างเช่น เทียน หลอดไฟ ไฟฉาย เพื่อให้ชีวิตมีความสว่างรุ่งโรจน์ ปัดเป่าความทุกข์และความมืดมิดทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันจันทร์

คนที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนที่ค่อนข้างเพียบพร้อม มีสเน่ห์ วางตัวดี มักจะเสียใจเพราะครอบครัว หรือคิดว่าตัวเองทำให้ครอบครัวเสียใจ ถึงจะมีเพียบพร้อม แต่ก็มักจะมีคู่ยาก เพราะรักอิสระ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ดี ถ้าหากมีคู่แล้ว ก็มักจะเจอความรักที่ไม่สมหวัง หรือเจอคนที่ไม่ดีจนรู้สึกเข็ดกับความรัก มีคู่ที่ไม่ได้ดั่งใจ หรือมีความแตกต่างกันสูง ทำบุญเกี่ยวกับเด็ก ทำบุญอาหารสัตว์ บริจาคให้มูลนิธิผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้พิการทางสมอง และทำบุญแก่ผู้ยากไร้ จะช่วยสั่งสมบุญบารมีได้ ของใส่บาตรที่ช่วยเสริมดวง ก็เช่น

    อาหารคาว : อาหารที่มีไก่ และสัตว์ปีก ไก่ต้ม ไก่ผัดขิง ข้าวมันไก่ แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงไก่ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ไก่ผัดเปรี้ยวหวาน เป็ดย่าง
    อาหารหวาน : ธัญพืช เช่น น้ำเต้าหู้ เผือกนึ่ง มันนึ่ง น้ำอ้อย ขนมเปี๊ยะ ขนมใส้ถั่วต่าง ๆ ลูกชุบ เม็ดขนุน
    ของใส่บาตร : น้ำ แก้วน้ำ ชุดกรวดน้ำ ถวายผ้าอาบน้ำฝน จะช่วยชะล้างสิ่งไม่ดี และเสริมดวงให้ชีวิตราบรื่นขึ้นได้

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันอังคาร

โดยธรรมชาติแล้ว คนที่เกิดวันอังคาร มักจะชอบช่วยเหลือคนอื่น อดทนต่อความยากลำบากได้ดี ไม่ค่อยพูดความรู้สึกออกมาเท่าไหร่ เลยทำให้กลายเป็นคนยังไงก็ได้ ด้วยความเป็นคนยังไงก็ได้ อาจจะทำให้โดนเอาเปรียบอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดอาการรู้สึกท้อ บางครั้งก็พูดตรง เลยทำให้ดูเหมือนเป็นคนอารมณ์ร้อน มักมีวิบากกรรมเกี่ยวกับความรัก นั่งสมาธิ เล่นโยคะ ทำจิตใจให้สงบ จะช่วยเพิ่มสติและช่วยฝึกสมาธิได้ดีขึ้้น การทำบุญ ควรทำบุญด้วยการรักษาศีล และบริจาคให้แก่คนยากไร้ หรือไปบริจาคเลือด

    อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว ผัดหมี่ ขนมจีน ยำวุ้นเส้น ผัดไทย บะหมี่หมูแดง
    อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง หรือของหวานอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ
    ของใส่บาตร : มีดตัดเล็บ กรรไกร มีดโกน ใส่เป็นอุปกรณ์หรือของมีคม จะช่วยตัดวิบากกรรมและความสัมพันธ์ที่ไม่ดีออกจากชีวิต

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันพุธกลางวัน

คนเกิดวันพุธ มักกลายเป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้ตัวเพราะความเฟรนด์ลี่ของตัวเอง เป็นคนมีวาทะศิลป์ เวลาอยู่ใกล้ใครแล้วจะทำให้คนรอบข้างตกหลุมรักได้ง่าย บางครั้งก็พูดตรงจนคนฟังอาจจะรู้สึกสะอึกอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่แล้วคนที่เกิดวันพุธกลางวัน จะเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ และด้วยความเจ้าชู้ไม่รู้ตัว อาจมีคนแอบร้องไห้ แอบเสียใจกับการกระทำของเรา คนที่เกิดวันนี้ขี้เบื่อง่าย อาจจะทำให้ชีวิตมีอุปสรรคเล็ก ๆ น้อยเข้ามาให้แก้ไข แต่หลายเรื่องพร้อม ๆ กัน ทำให้รู้สึกเหนื่อย ควรทำบุญเกี่ยวกับการศึกษาและศาสนา อย่างการบริจาคเงินให้ทุนการศึกษา สร้างโรงเรียน จัดพิมพ์หนังสือธรรมะแจก บริจาคเงินสร้างวัด โบสถ์ บริจาคที่ดิน

    อาหารคาว : อาหารสีเขียว ผักใบเขียว เช่น ผัดคะน้า ผัดผักบุ้ง แกงเขียวหวาน ผัดผักต่าง ๆ ชะอมไข่ทอด บะหมี่หยก
    หรืออาหารที่ทำจากหมู เช่น หมูปิ้ง หมูทอดกระเทียม หมูผัดเผ็ด หมูตุ๋น เป็นต้น
    อาหารหวาน : เปียกปูนใบเตย น้ำฝรั่ง แอปเปิลเขียว น้ำใบเตย ขนมหวานที่มีส่วนประกอบของใบเตย
    ของใส่บาตร : อุปกรณ์การศึกษา เช่น สมุด, กระดาษ, ปากกา, ดินสอ

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันพุธกลางคืน

คนที่เกิดวันพุธกลางคืน มักจะมีเซ้นส์ที่ดี บางคนสามารถสัมผัสกับสิ่งลี้ลับได้ มีบุญวาสนาค่อนข้างดี ดวงแข็ง ถ้าดีก็ดีสุด แย่ก็แย่สุดเหมือนกัน เป็นคนชอบท่องเที่ยว สติปัญญาและไหวพริบดี ถ้าได้ทำงานสายการแพทย์ หรือบวชเป็นพระ จะค่อนข้างเหมาะกับดวงของคนที่เกิดวันนี้ ข้อเสียของคนที่เกิดวันนี้เป็นคนที่ใช้เงินเก่ง มีมารยาและเล่ห์เหลี่ยม เลยดูเป็นคนไม่จริงใจ วันพุธกลางคืน มีเทพประจำวันคือพระราหู ควรทำบุญด้วยของดำ หมั่นรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิบ่อย ๆ จะช่วยให้ชีวิตราบรื่นขึ้น หรือจะทำนุบำรุงศาสนาก็ได้

    อาหารคาว : ผักดองและของดำ เช่น ผัดผักกาดดอง ต้มจืดผักกาดดอง ผัดกิมจิ ผัดหน่อไม้ ผักดองกับน้ำพริก ปลาหมึกผัดไข่เค็ม พะโล้ ข้าวเหนียวดำ หมูตุ๋น
    อาหารหวาน : ของดำ ข้าวเหนียวดำ เฉาก๊วย ขนมเปียกปูน
    ของใส่บาตร : ปากกา ยา เครื่องเสียง พัดลม ชุดยาสามัญประจำบ้าน

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันพฤหัสบดี

คนที่เกิดพฤหัสบดี มักจะเป็นคนตรง ๆ โกรธง่ายหายเร็ว ไม่ค่อยติดใจอะไร รักใครไม่ค่อยเผื่อใจ มีเพื่อน มีสังคมเยอะ แต่อีกมุมก็รักสันโดษ ชอบสั่งสอน มักจะมีคนนับหน้าถือตาบ่อย ๆ ส่วนใหญ่จะชอบปวดหัวไมเกรน เจอคนที่ไม่ค่อยจริงใจ โดนหักหลังบ่อย ๆ ถ้าได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ สวดมนต์บ่อย ๆ จะช่วยเสริมดวง เสริมบารมีได้ ทำบุญเกี่ยวกับศพไร้ญาติ ทำบุญโลงศพ บริจาคเงินเกี่ยวกับการศึกษา และบริจาคเงินตามกำลังวัน 19 บาท จะช่วยให้ชีวิตมีความราบรื่น

    อาหารคาว : พืชเถา แกงต่าง ๆ เช่น ต้มจืดฟัก ผัดบวบ ผัดน้ำเต้า ผัดผัก ต้มจับฉ่าย แกงเลียง แกงเทโพ แกงส้ม แกงเหลือง
    อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพรสีแดง เช่น กระเจี๊ยบ น้ำแตงโม น้ำพุทราจีน น้ำมัลเบอร์รี่
    ของใส่บาตร : สบง จีวร ชุดยาสามัญ หมอนถวายพระ ช่วยเสริมเรื่องสติปัญญาของคนที่เกิดวันพฤหัสบดี

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันศุกร์

คนที่เกิดวันนี้ เป็นพวกสุขนิยม มักจะชอบอะไรที่มีความสุข ของสวย ๆ งาม ๆ มีเสน่ห์ มีรสนิยมดี ทำอะไรก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่แฮปปี้กับสิ่งที่ทำ ก็จะเลิกทำไปดื้อ ๆ เลยดูเหมือนเป็นคนหยิบโหย่ง ทำอะไรได้ไม่นาน ดวงชะตามักไม่ค่อยลำบาก ได้ดีเพราะตัวเอง คิดมากกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ครอบครัวไม่ค่อยสมบูรณ์ ทำให้มีปมเกี่ยวกับความรัก คบกับใครไม่ค่อยยืด หรือชอบไปรักคนมีเจ้าของ ไม่ค่อยสมหวังกับความรัก หรือลำบาก กว่าจะได้แต่งงานกัน การบูชาเทพที่เป็นผู้หญิง อย่างพระแม่ลักษมี เจ้าแม่กวนอิม ขอพรจากท่าน จะช่วยให้มีที่พึ่งและมีที่ยึดเหนี่ยวทางใจ

    อาหารคาว : ของหอม หรือมีคำว่าหอม เช่น ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ผัดหอมใหญ่ ข้าวหอมมะลิ ยำวุ้นเส้นใส่หัวหอม ต้มจืดเห็ดหอม ไข่ตุ๋นเห็ดหอม
    อาหารหวาน : กล้วยหอม น้ำมะพร้าว เก๊กฮวย เค้กกล้วยหอม
    ของใส่บาตร : กำยานและธูปหอม สบู่

ทำบุญเสริมดวงตามวันเกิด เกิดวันเสาร์

คนที่เกิดวันนี้ เป็นคนสตรอง! และดวงแข็ง เกิดอุปสรรคกี่ครั้งก็สามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง ใครที่คิดร้ายกับคนวันเสาร์ ระวังให้ดี ๆ เพราะศัตรูมักจะแพ้ภัยในตัวเอง ขยัน อดทน ไม่ค่อยโกรธและอาฆาตใครเท่าไหร่ คิดแล้วทำเลย เป็นคนมีเหตุมีผล แอบเจ้าชู้เงียบ มักจะเจอกับการสูญเสียจนรู้สึกหมดกำลังใจบ่อย ๆ คิดมาก วิตกกังวล โดนคนเอาเปรียบอยู่เสมอ ทำดีแต่ไม่มีใครเห็น ถ้ามีโอกาสให้ทำบุญกับบุพการี หรือผู้มีพระคุณ ถวายดอกไม้ ปลูกต้นไม้ให้วัด ไถ่ชีวิตสัตว์ จะช่วยบรรเทาวิบากกรรมลงได้

    อาหารคาว : อาหารรสขม เช่น มะระ ต้มจืดมะระ ผัดมะระใส่ไข่ แกงส้มมะรุม น้ำพริกผักต้ม
    อาหารหวาน : เปียกปูน กาแฟ โอเลี้ยง ชาดำ ผลไม้เป็นมะละกอกับสับปะรด
    ของใส่บาตร : บริจาคเงินเพื่อทำนุบำรุงศาสนา บริจาคยาแก้ปวด สร้างห้องน้ำวัด ทำบุญสร้างวัด สร้างฐานพระ ปิดทองลูกนิมิตร บริจาคโลงศพ

ใครที่ไม่สะดวกทำเอง ในปัจจุบันนี้ก็สามารถสั่งชุดใส่บาตร หรือสั่งอาหารเดลิเวอรี่แทนได้ สะดวกสบายสุด ๆ นอกจากจะถวายของใส่บาตรแล้ว การทำบุญในรูปแบบอื่น ๆ อย่างเช่นการไปทำบุญในสถานสงเคราะห์ หรือทำบุญให้แก่ผู้ยากไร้ ก็เป็นการทำบุญวันเกิดที่สามารถแบ่งปันความสุขให้แก่คนรอบข้างได้ หลังใส่บาตรแล้ว อย่าลืมที่จะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล และขอพรเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตด้วยนะ

หน้า: [1] 2 3 ... 33