ผู้เขียน หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis)  (อ่าน 225 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 487
  • บริการโพสต์ หรือท่านที่ต้องการลงประกาศขายสินค้าผ่านอินเตอร์เนต เหมาะกับท่านที่ไม่มีเวลาลงโฆษณา *บริการโพสต์ ช่วยให้สินค้าท่าน หรือ โฆษณาโปรโมชั่นของท่าน
    • ดูรายละเอียด
หมอประจำบ้าน: ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis)
« เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2024, 13:36:07 น. »
หมอประจำบ้าน: ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis)

ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ กินยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิด และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน เอดส์)


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า แคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับที่ทำให้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่ในช่องคลอด แต่จะไม่แสดงอาการอักเสบแต่อย่างใด

เนื่องจากแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอดคอยสร้างกรดช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราเจริญแพร่พันธุ์ แต่ถ้าหากมีภาวะบางอย่างที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย เช่น การกินยาปฏิชีวนะ (เช่น เตตราไซคลีน อะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น) นาน ๆ หรือการสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น จะทำให้เชื้อราเจริญได้ นอกจากนี้การกินยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ ก็อาจเปลี่ยนแปลงสภาพภายในช่องคลอด ทำให้เชื้อราเจริญได้เช่นกัน

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะข้นขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม อาจมีอาการปวดเฉียบขณะร่วมเพศ (dyspareunia) หรือมีอาการปัสสาวะบ่อยและปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย บางรายอาจมีผื่นแดงรอบ ๆ ปากช่องคลอดหรือบริเวณขาหนีบ


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ทำให้มีอาการคันในช่องคลอดรุนแรง จนบางครั้งทำให้เสียบุคลิกภาพ

นอกจากนี้ เมื่อรักษาหายแล้วอาจเกิดอาการกำเริบได้บ่อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้ยาเหน็บช่องคลอดซึ่งเข้ายาฆ่าเชื้อรา เช่น ยาเหน็บช่องคลอดนิสแตติน (nystatin) ยาเหน็บช่องคลอดโคลไตรมาโซล (clotrimazole) หรือให้กินยาต้านเชื้อรา เช่น ฟลูโคนาโซล

ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ในรายที่กำเริบบ่อย แพทย์อาจทำการตรวจเลือดดูว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานหรือโรคเอดส์แฝงอยู่หรือไม่


การดูแลตนเอง

ถ้าหากสงสัย เช่น มีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะข้นขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการกำเริบซ้ำ
    ในรายที่แพทย์ให้ยารักษา หากใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

การป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงในที่ทำจากไนลอน หรือใยสังเคราะห์ เพราะทำให้อับชื้น ซึ่งเชื้อราอาจเจริญง่าย อย่าสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น และอย่ากินยาปฏิชีวนะ (หรือยาชุดที่เข้ายาปฏิชีวนะ) โดยไม่จำเป็น

ข้อแนะนำ

1. ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด ถ้ามีอาการของโรคนี้เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรเลิกกินยาคุมกำเนิด และหันไปคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน

2. อาการช่องคลอดอักเสบ (ตกขาวและคัน) อาจเป็นอาการแทรกซ้อนของผู้ที่เป็นเบาหวานหรือเอดส์ก็ได้ หากมีอาการช่องคลอดอักเสบบ่อยหรือสงสัยควรตรวจน้ำตาลในเลือดและเชื้อเอชไอวี