ผู้เขียน หัวข้อ: ซ่อมบำรุงอาคาร: สัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนแอร์ได้แล้ว  (อ่าน 247 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 508
  • บริการโพสต์ หรือท่านที่ต้องการลงประกาศขายสินค้าผ่านอินเตอร์เนต เหมาะกับท่านที่ไม่มีเวลาลงโฆษณา *บริการโพสต์ ช่วยให้สินค้าท่าน หรือ โฆษณาโปรโมชั่นของท่าน
    • ดูรายละเอียด
ช่วงนี้คนส่วนใหญ่ต่างทำงานจากที่บ้านและเรียนหนังสือทางออนไลน์ แน่นอนว่าด้วยสภาพอากาศทำให้เราต้องเปิดแอร์แทบจะทุกวัน ทำให้เครื่องต้องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพตามการใช้งาน หากแอร์ตัวเก่าที่บ้านของคุณเริ่มส่งสัญญาณดังต่อไปนี้ อาจถึงเวลาที่คุณต้องมองหาแอร์บ้านตัวใหม่ได้แล้ว


ใช้งานมานานเกิน 10 ปี
หากแอร์ของคุณได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี โดยทั่วไปก็สามารถใช้งานได้ร่วม 10 ปีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามทุกอย่างย่อมเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ประสิทธิภาพที่ลดลงก็ตามมาด้วยการกินไฟที่มากขึ้น แถมแอร์ยิ่งเก่าอะไหล่ก็ยิ่งหายาก เวลาจะซ่อมทีก็ลำบาก ในขณะที่แอร์รุ่นใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีประหยัดไฟและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น


กินไฟผิดปกติ
หากค่าไฟพุ่งสูงขึ้นผิดปกติ นั่นเป็นสัญญาณว่าแอร์ของคุณเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพแล้ว เปลี่ยนไปเลือกรุ่นประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือแบบระบบอินเวอร์เตอร์ ที่ช่วยประหยัดได้เพิ่มขึ้นถึง 40% และช่วยยืดอายุการใช้งานอีกด้วย


คอมเพรสเซอร์เสื่อมสภาพ เสียงดัง
แอร์ที่ใช้งานมานาน มีโอกาสที่แผงคอยล์ร้อนที่ชุดคอมเพรสเซอร์จะผุกร่อนจากการเผชิญสภาพอากาศมาเป็นระยะเวลายาวนาน แอร์รุ่นใหม่มีการเคลือบสารบลูฟินทำให้แผงคอยล์ร้อนทนต่อการกัดกร่อน (จากกรดจากฝนหรือสารพิษในอากาศ) นอกจากนี้คอมเพรสเซอร์ที่เสื่อมสภาพยังทำให้แอร์มีเสียงดังอีกด้วย

ไม่เย็น
หากแอร์ของคุณไม่เย็น ไม่ว่าจะล้างแอร์ก็แล้ว เติมน้ำยาแอร์ก็แล้ว นี่คือสัญญาณว่าแอร์ของคุณเสื่อมสภาพและถึงเวลามองหาแอร์เครื่องใหม่ได้แล้ว

เสียบ่อย
โดยทั่วไปแอร์มักไม่ค่อยมีปัญหา แต่หากคุณต้องตามช่างมาซ่อมแอร์ของคุณบ่อยๆ แล้วล่ะก็ คงถึงเวลาพิจารณาซื้อเครื่องใหม่ได้แล้ว เพราะคำนวณค่าซ่อม ค่าอะไหล่ แถมค่าเสียเวลาแต่ละครั้งแล้ว การแอร์ซื้อเครื่องใหม่ดูจะคุ้มค่ากว่า



ประเภทของแสงไฟที่ใช้ภายในและภายนอกอาคาร

ถ้าเราลองนึกถึงบรรยากาศในแต่ละสถานที่ ระหว่างตอนกลางวันและตอนกลางคืนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงใช่ไหมคะ ก็เหมือนกับเวลาเรามองตึกอาคาร ห้างสรรพสินค้าหรือแม้กระทั่งบ้านหรือห้องต่างๆ ตอนกลางคืนหรือตอนที่เปิดไฟแล้วรู้สึกว่าดูสวยกว่าตอนไม่ได้เปิดไฟ นั่นก็เป็นเพราะการใช้แสงมีผลต่อการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอย่างมาก การออกแบบแสงที่เหมาะสมจะช่วยสร้างมิติและบรรยากาศที่ต้องการ ตอบโจทย์เรื่องของการใช้งาน หรือแม้กระทั่งช่วยให้ห้องหรือบริเวณนั้นๆ ดูกว้างขึ้นได้

แสงที่นักออกแบบมักใช้สำหรับการตกแต่งภายในและภายนอกจะมี 3 ประเภทด้วยกัน คือ ไฟส่องสว่างทั่วไป (General Lighting) ไฟส่องเฉพาะที่ (Task Lighting) และ ไฟส่องเน้น (Accent Lighting)


1. ไฟส่องสว่างทั่วไป (General/Ambient Lighting)

ภายใน – เป็นการให้แสงสว่างแบบพื้นฐานทั่วไป คือกดสวิตช์แล้วสว่างทั่วทั้งบริเวณ สำหรับประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน เน้นที่การใช้งานและความปลอดภัยเป็นหลัก โดยดีไซน์เนอร์อาจจะออกแบบให้มีการใช้งานร่วมกับแสงธรรมชาติ หรืออาจจะใช้แสงเทียม (Artificial light) เนื่องจากทุกวันนี้หลอดไฟจำพวก LED สามารถเลียนแบบแสงธรรมชาติได้ค่อนข้างใกล้เคียงมากทีเดียว ไฟที่นิยมใช้ก็จะเป็นพวก โคมไฟตั้งพื้น โคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟระย้า หรือไฟติดเพดาน เป็นต้น

ภายนอก – ไฟชนิดนี้ยังนำไปติดตั้งไว้ภายนอกอาคารด้วย เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนและเพิ่มความปลอดภัยโดยรอบ รวมถึงบริเวณทางเข้าและบันไดเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุเวลาเข้าออกอาคาร เช่น ไฟสปอร์ตไลท์ โคมไฟสนาม โคมไฟเสาสูง โคมไฟเสาเตี้ย เป็นต้น


2. ไฟส่องเฉพาะที่ (Task Lighting)

ภายใน – สำหรับให้แสงสว่างเพื่อใช้ทำงานหรือประกอบกิจกรรมเฉพาะ เช่น อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ ทำอาหาร ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะ ไฟห้อยเพดาน ไฟเส้นสำหรับติดใต้ตู้หรือเคาท์เตอร์ในครัว หรือดาวน์ไลท์ วัตถุประสงค์ก็เพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน ไม่ต้องเพ่งสายตา ทำกิจกรรมได้สะดวก แต่ควรหลีกเลี่ยงไฟที่จ้าเกินไปหรือไฟที่ทำให้เกิดเงา โดยอาจติดตั้งเป็นสวิตช์เดี่ยวแยกจากสวิตช์รวม บางครั้งใช้ร่วมกับไฟส่องสว่างทั่วไปเพื่อเพิ่มความสว่างหรือเพื่อให้เกิดสีที่ต้องการสำหรับประกอบกิจกรรมเฉพาะอย่าง

ภายนอก – ใช้ส่องทางเดิน ระเบียง ทางเข้า หรือครัวนอกบ้าน เน้นการให้แสงสว่างเพื่อประกอบกิจกรรมและเพื่อความปลอดภัย เช่น ไฟผนัง ไฟกิ่ง ไฟหัวเสา และควรเลือกใช้ไฟสำหรับภายนอกโดยเฉพาะเนื่องจากมีความทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ เช่น ฝน ลมพายุ แดด


3. ไฟส่องเน้น (Accent Lighting)

ภายใน – เป็นการใช้แสง เช่นไฟฝังเพดาน ไฟแขวงผนัง ไฟราง หรือสปอร์ตไลท์ เน้นไปที่วัตถุที่ต้องการให้เป็นจุดเด่นดึงดูดความสนใจ เช่น รูปภาพ รูปปั้น ของสะสม หรือผิวของวัสดุ เช่น ผนังหรือบัวฝ้าที่ตกแต่งเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเป็นงานศิลปะมักจะนิยมใช้หลอด LED เนื่องจากไม่ปล่อยแสงยูวีและความร้อนที่อาจสร้างความเสียหายแก่รูปภาพ นอกจากนี้เรามักเห็นการใช้ไฟส่องเน้นในช้อปร้านค้า ซึ่งเขาจะใช้ General Lighting เป็นแบคกราวน์และใช้ Accent Lighting เน้นไปที่สินค้าเพื่อดึงดูดความสนใจ จัดเป็นแสงที่ใช้เพื่อความสวยงามมากกกว่าการใช้งานโดยตรง ในการจัดแสงแนะนำให้ใช้ไฟส่องเน้นที่มีความเข้มข้นเป็น 3 เท่าของแสงในห้องเพื่อให้เกิดจุดเด่นอย่างชัดเจน

ภายนอก – มักใช้ส่องสว่างบริเวณระเบียง ริมสระน้ำ ทางเดิน สวน ต้นไม้ ช่วยเพิ่มสเน่ห์และสร้างบรรยากาศกลางแจ้งให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น จะแตกต่างจาก Task lighting ตรงที่เน้นเรื่องของความสวยงามเป็นหลัก ไฟที่นิยมใช้ เช่น โคมไฟฝังพื้น โคมไฟใต้น้ำ โคมไฟบันได ซึ่งทุกวันนี้มีดีไซน์และเฉดสีที่หลากหลาย สามารถปรับระดับเพื่อสร้างเลเยอร์ให้เข้ากับสไตล์การตกแต่งบ้านของคุณ รวมถึงยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน เช่นหลอด LED

เราได้ทราบถึงประเภทของการใช้แสงไฟในการออกแบบแล้ว แนะนำว่าก่อนเริ่มวางแผนการจัดแสง คุณควรคำนึงถึงจุดประสงค์การใช้งานของห้องหรืออาคารนั้น ๆ ก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับการตกแต่งและความต้องการ และสามารถเลือกประเภทของโคมไฟได้อย่างถูกต้องเหมาะสม


ซ่อมบำรุงอาคาร: สัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนแอร์ได้แล้ว อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/